วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
0 ความคิดเห็น

สภาพของตลาดหุ้นที่ขึ้นลง : ภาพสะท้อนของ Wall Street

01:11

สภาพของตลาดหุ้นที่ขึ้นลง : ภาพสะท้อนของ Wall Street



อาทิตย์ที่แล้ว มูลค่าหุ้นทั่วโลกรวมถึงมูลค่าหุ้นของเอเชีย ร่วงตกลง ถ้าคิดเป็นถัวเฉลี่ยแล้วโดยที่หุ้นทางประเทศไทยโดยถัวเฉลี่ยแล้ว ตกลงไปประมาณ 30 จุดทำให้นักลงทุน(หรือนักเก็งกำไร)พากันบ่นยังกับหมีกินผึ้ง

ว่ากันว่าสาเหตหลักมาจากการที่มาตรการทางการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านโดยธนาคารกลางของสหรัฐฯ จากผู้ว่าธนาคารชาตินาย Ben Bernanke ที่เคยเสนอมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินขนาดใหญ่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและการเงินโดยหวังว่ามาตรการดังกล่าว(Quantitative Easing:QE) จะทำให้สภาพเศรษฐกิจและระบบการเงินมีความคล่องตัวขึ้น

กล่าวโดยรวมคือมาตรการทางการเงิน(Quantitative Easing:QE) ที่เสนอโดยผู้ว่าการธนาคารของสหรัฐอเมริกาจะทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐอเมริกา ในที่สุดแล้ว จะดีขึ้นอัตราว่าจ้างคนจะมีมากขึ้น ระบบการเงินจะมีสภาพคล่องมากขึ้นจะมีการลงทุนกันมากขึ้นโดยเฉพาะทางภาคเอกชนถือว่ามาตรการดังกล่าวจะสร้างวงจรอรรถประโยชน์(Virtuous Cycle)ที่สร้างประโยชน์โดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจ

ผลก็คือระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปีที่ผ่านมามี 'เงินล้นระบบ' เพราะเป็นการ พิมพ์เงินกระดาษ(FiatMoney: Fiat Money คือเงินกระดาษที่ถูกพิมพ์โดยไม่ได้มีมูลค่าอะไรมารองรับ)เงินกระดาษเหล่านี้ก็มุ่งแสวงหาประโยชน์จากระบบการเงินต่างๆทั่วโลกคือสถาบันการเงินที่ไหนในโลกนี้ก็ได้ที่เสนอให้ดอกเบี้ยสูงกว่าทางธนาคารสหรัฐอเมริกาเสนอ ซึ่งธนาคารของทางสหรัฐอเมริกาเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่าประเทศต่างๆอื่นมาก เหตผลมาจากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯต้องการให้ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเกิดสภาพคล่อง และการเสนอดอกเบี้ยต่ำถือว่าเป็นการป้องกันอัตราเงินเฟ้อ ที่นายธนาคาร และนักการเมืองของสหรัฐอเมริกามองว่าอัตรเงินเฟ้อ เป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอเมริกา

เดือนกรกฏาคมก็จะเข้าสู่ไตรมาสที่สามโดยที่สองไตรมาสที่ผ่านมาความตั้งใจที่จะทำการกระตุ้นเศรษฐกิจของนาย Bennanke นั้นไม่ได้บรรลุตามความเป้าหมาย คือไตรมาสแรกตั้งใจว่าตัว QE จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง4% ก็ได้เพียง 2% กว่าๆ และพอถึงไตรมาสที่ 2 ตั้งใจว่าต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตที่3% ปรากฏว่ากระตุ้นได้เพียง 1% กว่าๆ

มาตรการการผ่อนปรนทางการเงิน(QE)จึงทำให้เงินที่ถูกพิมพ์ออกมาอย่างไม่มีมูลค่าอะไรไปรองรับแพร่สะพัดไปตามประเทศต่างๆในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จากประเทศต่างๆมีมูลค่าการซื้อขายสูงขึ้น รวมถึงประเทศไทยที่หลายเดือนที่ผ่านมามูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ก็ปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัวรวมถึงการปรับตัวแข็งขึ้นของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

การพิมพ์เงินอย่างไม่ต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ใดๆมารองรับ(FiatMoney) ของสหรัฐฯนั้นทำให้เงินดอลลาร์ล้นและสะพัดตัวเองไปทั่วและพอนาย Ben Barnanke เริ่มคิดที่จะทยอยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินก็เลยทำให้เงินที่แพร่สะพัดไปทั่วโลกนั้น ถูกดึงกลับไปที่สหรัฐฯอีกครั้งหุ้นในเอเชียก็เลยพากันร่วงดิ่งกันไป เงินบาทก็อ่อนตัวลง

วัฎจักรเช่นนี้ก็จะต้องเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่สหรัฐอเมริกา รู้สึกว่าเศรษฐกิจของตนเองกำลังมีปัญหาอเมริกาก็ย่อมเสนอมาตรการต่างๆออกมาอุ้มเศรษฐกิจของตน

อย่างเช่นถ้าย้อนกลับไปเมื่อ70 กว่าปีที่แล้ว ในช่วงที่สหรัฐอเมริกาประสบความหายนะทางเศรษฐกิจ(GreatDepression) ประธานาธิบดี Franklin Roosevelt ได้ออกมาตรการลดค่าเงินดอลลาร์ลง(ตอนนั้นเงินดอลลาร์ใช้ทองคำเป็นตัวรองรับมูลค่า)ทำเอาชาติต่างๆในยุโรปแทบตั้งตัวไม่ทันโดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เก็บสะสมทองคำไว้มากต่อมาในปี 1971 ประธานาธิบดี Richard Nixon ก็ได้ยกเลิกมาตรการผูกเงินดอลลาร์กับทองคำหลังจากนั้นมา เงินดอลลาร์ก็เลยไม่ผูกติดกับมูลค่าใดๆ รัฐบาลอยากจะพิมพ์เงินกระดาษ(fiatmoney) ออกมามากมายเท่าใดก็สุดแล้วแต่รัฐบาลที่อ้างว่าเป็นมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ยิ่งหนักไปกว่านั้นหลังจากที่นาย Ronald Reagan ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปี1980 มาตรการของการเล่นแร่แปรธาตุกับเงินดอลลาร์ก็เข้าสู่ยุคสุดโต่งเพราะคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี Reagan นั้นส่วนใหญ่ก็มาจากนายทุนของทาง Wall Street ทั้งนั้น โดยเฉพาะทางนายDonald Regan ที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานของรัฐบาล(ChiefOf Staff) และอดีตเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทวาณิชธนกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือบริษัทMerrill Lynch นาย Donald Regan ถือว่าอาจจะใหญ่กว่าประธานาธิบดีRonald Reagan ด้วยซ้ำ เพราะนาย Ronald Reagan เคยถูกนายDonald Regan หนึ่งในเจ้าพ่อจาก Wall Street สั่งให้พูดให้ดังๆเวลากล่าวสุนทรพจน์

เกมของ WallStreet คือการทำให้ต้นทุนของหนี้สินต่างๆให้มีมูลค่าต่ำเท่าที่จะต่ำได้เพราะถ้ามูลค่าหนี้สูง ทางธนาคารรวมถึงทางภาครัฐย่อมออกมาตรการเข้ามาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อทางอสังหาริมทรัพย์ที่ล่อให้คนเข้าไปจับจองต่อการดาวน์บ้านกล่าวอีกอย่างคือ ทาง Wall Street ซึ่งควบคุมกิจการของรัฐบาลอีกทีต้องการให้มูลค่าของหนี้ให้มีมูลค่าให้ต่ำ เพื่อพวกตนจะได้ทำการปล่อยกู้หาส่วนต่างของดอกเบี้ยจากโครงการต่างๆ

นี่เป็นสาเหตที่รัฐบาลกลางจึงต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เศรษฐกิจดูดีขึ้นธนาคารก็จะทำการปล่อยกู้ได้มากขึ้นปริมาณเงินจำนวนมากก็จะพากันแห่ไปซื้อและขายหุ้น ที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์

คือทำราวกับว่าเศรษฐกิจของประเทศ ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งๆที่หนี้สินก้อนมหึมายังฝังตัวอยู่ในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯและแทนที่ธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ จะเข้าไปแก้ปัญหาหนี้กองโตธนาคารกลางของสหรัฐฯโดยนาย Barnanke กลับพิมพ์ธนบัตรอัดเข้าไประบบเศรษฐกิจโดยหวังว่าจะสามารถทำให้ระบบเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลอกให้เข้าใจกันว่าหนี้อันมหาศาลที่อเมริกามีอยู่นั้น ความจริงแล้วไม่มีปัญหาอะไร ทั้งๆที่ปี 2008เศรษฐกิจของอเมริกาในตอนนั้น ความจริงแล้ว ล่มสลายไปแล้ว

และที่น่าเศร้าที่สุดคือเหล่าบรรดานักค้าเงินทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่าซีอีโอจากบริษัทวาณิชธนกิจเหล่านี้แทนที่จะได้รับโทษจากการเล่นแร่แปรธาตุหรือการปั่นหุ้น หรือน่าจะต้องไปติดตะรางคนเหล่านี้กลับได้รับเงินโบนัสก้อนโตและก็พากันเกษียณตนเองอย่างสบายใจแต่พนักงานของบริษัทจำนวนมาก กลับถูกปลดจากงานที่พวกตนทำอยู่โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

นี่คือไม้ตายทางด้านการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านโดยธนาคารกลาง ที่เป็นผู้ถือแป้นพิมพ์ธนบัตรอย่างหน้าชื่นตาบานและถ้าต้องการจะพิมพ์เงินออกมามากเท่าใด ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเขาเป็นผู้คุมเกม

การอัดฉีดเม็ดเงินหรือสินทรัพย์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว อาณาจักรโรมันก็ได้ดำเนินวิธีอย่างที่สหรัฐอเมริกาได้ทำอยู่ เพราะความฟุ่มเฟือยของโรมต่อมาที่ประชากรชาวโรมันต่างพากันเสพบริโภคอย่างไม่ยั้งมือถึงขนาดมีสระให้พวกดื่มจัดไปอาเจียนบนสระที่ถูกสร้างไว้โดยเฉพาะความฟุ่มเฟือยของโรม ทำให้เกิดวิกฤติทางการเงินขึ้นมา ผลก็คือจักรพรรดิ Tiberius(ศตวรรษที่33) ต้องเอาทองคำจำนวนล้านชิ้นที่เก็บจากภาษีของประชาชนอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของโรมในตอนนั้น

แต่ในที่สุดเศรษฐกิจของโรม และอาณาจักรโรมัน ก็ต้องพังทลายลงไปในที่สุดเพราะขาดวินัยการคลังอย่างแรง แต่ตอนนั้นโรมอยู่ได้เพราะโรมเป็นจักวรรดิที่ยิ่งใหญ่ ถนนทุกสายก็มุ่งไปที่โรม ซึ่งตอนนี้อเมริกาก็มั่นใจว่าถนนทุกสาย ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถนนทุกสาย ก็มุ่งไปที่ WallStreet

และเกมดังกล่าวคือสิ่งที่บรรษัทข้ามชาติ นักค้าเงินใน Wall Street  และคนในรัฐบาลสหรัฐฯ รู้ดีเสมอว่าถึงอย่างไรเสีย ก็จะหนีจากถนนที่พวกเขาได้ตั้งใจปูไว้ให้ผู้ไม่รู้ได้เดินไปตามที่พวกเขาต้องการได้เสมอ






ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Labels

Blogger news

Followers

 
Toggle Footer
Top