เหตุผล 5 ประการว่าทำไมมอนซานโตจึงถูกต่อต้าน
1. กอบโกยจากสารเคมีเป็นพิษในนามของธุรกิจด้านการเกษตร
ในปฏิบัติการ Ranch Hand ระหว่างสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐใช้ยุทธวิธีโจมตีด้วยสารเคมี
พวกเขาใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงและฝนเหลือง (Agent Orange) เป็นอาวุธเคมีซึ่งเป็นเหตุให้ผู้คน 400,000 คนต้องพิการ (จากการประมาณตัวเลขของรัฐบาลเวียดนาม)
และทำให้เด็กแรกเกิด 500,000 คนพิการแต่กำเนิด
โดยเบื้องหลังปฏิบัติการครั้งนี้คือบริษัทมอนซานโต
บริษัทมอนซานโตเริ่มต้นกิจการด้วยการเป็นผู้ผลิตสารเคมีตั้งแต่ปี
1901 และเป็นต้นตอของสารเคมีอันตรายร้ายแรงหลายชนิดในประวัติศาสตร์อเมริกา
เช่น สารโพลีคลอริเนตเต็ดไบฟีนิล (PCB’s) และสารไดออกซิน กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคชื่อว่า Food and
Water Watch (FWW) ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับบทบาทของมอนซานโตในการผลิตฝนเหลือง
ซึ่งถือเป็นพิบัติภัยจากสารเคมี
รวมไปถึงการสร้างเซลล์ตัดแต่งทางพันธุกรรมเป็นครั้งแรก
ในอดีต
กิจการส่วนใหญ่ของบริษัทพัวพันอยู่กับเรื่องการผลิตสารเคมีอันตรายและเป็นผู้จัดเตรียมฝนเหลืองให้กับกองทัพในสงครามเวียดนามตั้งแต่
1962 – 1971
บริษัทยังเป็นผู้ริเริ่มจำหน่ายขัณฑสกรให้กับบริษัทโคคาโคลา
มีการตัดแต่งพันธุกรรมเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดเพื่อให้ต้านทานต่อสารกำจัดศัตรูพืชที่บริษัทเป็นผู้ผลิตเอง
จนในที่สุดมอนซานโตก็เข้ามาคลุกคลีกับอุตสาหกรรมจำหน่ายอาหารอย่างเต็มที่
โรงงานแห่งหนึ่งของมอนซานโตที่ผลิตสาร
PCBs ก่อนที่จะโดนระงับในปี 1976 สารดังกล่าวมีฤทธิ์ก่อมะเร็งและเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะ
แต่กระนั้นพวกเขายังทิ้งน้ำเสียจากการผลิตลงในแหล่งน้ำอย่างผิดกฎหมาย
ซึ่งสารเหล่านี้ก็ไปสะสมอยู่ในต้นไม้ พืชไร่ ปลา และสัตว์น้ำอื่น ๆ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในห่วงโซ่อาหารที่มนุษย์ร่วมอยู่ด้วย
ในปี 2004 เกษตรกรรายหนึ่งในฝรั่งเศสมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทหลังจากสูดดมยากำจัดวัชพืช
อาการเหล่านี้ ได้แก่ สูญเสียความทรงจำ ปวดหัว และติดอ่าง
ศาลฝรั่งเศสจึงตัดสินให้บริษัทมอนซานโตมีความผิด
อีกทั้งตำหนิที่ไม่มีการระบุคำเตือนบนฉลากผลิตภัณฑ์
2. ผูกขาดอุตสาหกรรมการเกษตรไว้แต่เพียงผู้เดียว
แก่นสารของความเป็นอเมริกันคือวิถีชีวิตของชาวนาชาวไร่
แต่มอนซานโตกลับเดินหน้าฟ้องร้องเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้พวกเขไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ต่อไปได้
ครั้งหนึ่งเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในเมืองเวอร์นอน
รัฐอินเดียนนา ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย 85,000 ดอลลาร์โดยบริษัทมอนซานโต เพราะเขานำเอาเมล็ดพันธุ์ตัดแต่งพันธุกรรมรุ่นที่สองไปปลูกซ้ำ
ซึ่งการกระทำดังกล่าวศาลถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรของบริษัทมอนซานโต
เพราะสิทธิบัตรดังกล่าวครอบคลุมไปถึงเมล็ดที่เกิดขึ้นใหม่จากพืชที่ปลูกด้วย
ขณะที่บริษัทประกาศผลกำไรมหาศาลจากธุรกิจของตน
อเมริกันชนผู้เป็นหนี้ก็ร้องเรียนต่อรัฐในกรณีการฟ้องร้องลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป
เนื่องจากในฟาร์มของพวกเขาเต็มไปด้วยพืชพันธุ์จากเมล็ดของมอนซานโต ปลายปี 2012 ผลกำไรรวมของบริษัทสูงถึง 2.94 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขเกือบ 2 เท่าของที่คาดการณ์กันไว้
สำนักข่าวอัลจาซีราเคยตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด
ถั่วเหลือง และฝ้ายของบริษัทมอนซานโต
เพื่อควบคุมอุตสาหกรรมการเกษตรของสหรัฐทั้งระบบ
พวกเขาบีบให้เกษตรกรดั้งเดิมต้องล่าถอยเพราะไม่อาจแข่งขันในตลาดได้
นอกจากนี้ยังบังคับให้ผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์งดจำหน่ายสินค้าที่เป็นคู่แข่งของบริษัทด้วย
มอนซานโตพยายามมีอำนาจเหนืออุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์
โดยเริ่มกว้านซื้อกิจการเจ้าอื่นๆ มาตั้งแต่ปี 1982 เช่น บริษัทเมล็ดถั่วเหลือง Asgrow บริษัทเมล็ดฝ้าย Delta and Pine Land บริษัทเมล็ดข้าวโพด DeKalb เป็นต้น ซึ่งทางการสหรัฐก็ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างจริงจัง
การกระทำดังกล่าวจึงดำเนินไปโดยง่าย
3. ควบคุมอุตสาหกรรมอาหาร
กีดกันการเข้าถึงแหล่งน้ำ
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาได้ประมาณการไว้ว่า
ก่อนปี 2030 ประชากรครึ่งหนึ่งของโลกจะตกอยู่ในพื้นที่ภาวะตึงเครียดด้านแหล่งน้ำ
เนื่องจากบริษัทใหญ่ๆ
อย่างมอนซานโตจะพยายามเข้าครอบครองแหล่งน้ำสาธารณะแล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นเอกสิทธิ์ของตน
นอกจากนี้ภายในปี 2025 ประชากรโลกจะทะยานจนเกิน 8 พันล้านคน
และความต้องการใช้น้ำจะล้นเกินกว่าปริมาณน้ำที่มีอยู่ถึงร้อยละ 40 เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรดังกล่าวทำให้มีความต้องการใช้น้ำประมาณ
6,900 พันล้านลูกบาศก์เมตร
ขณะนี้บริษัทเอกชนครอบครองน้ำแหล่งน้ำบริสุทธ์ไปถึงร้อยละ
5 ของโลก พวกเขายังซื้อสิทธิ์ในน้ำใต้ดินและชั้นหินอุ้มน้ำไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังปล่อยสารเคมีเป็นพิษลงสู่แหล่งน้ำทั่วโลก
เพราะมองเห็นช่องทางทำกำไรจากการบำบัดน้ำเน่าเหล่านั้นแล้วขายคืนให้กับประชาชนทั่วไป
4. ครอบงำ FDA และตั้งกฎหมายเพื่อปกป้องตนเอง
บรรดาอดีตผู้บริหารมอนซานโตต่างตบเท้าเข้าไปเป็นผู้ดำเนินงานขององค์การอาหารและยาสหรัฐ
(FDA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการดูแลความปลอดภัยด้านอาหารให้กับสาธารณชน
ความขัดกันด้านผลประโยชน์ดังกล่าวแสดงออกผ่านความเพิกเฉยของรัฐบาลที่ไม่มีการผลักดันการวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบระยะยาวจากผลิตภัณฑ์ตัดแต่งพันธุกรรม
อีกทั้งรัฐสภาก็ยังอนุมัติกฎหมาย พระราชบัญญัติ ‘คุ้มครองมอนซานโต’ เพื่อป้องกันไม่ให้ศาลสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมล็ดตัดแต่งพันธุกรรม
นอกจากนี้ก็ยังมีกฎหมายอื่นๆ
ที่ออกมาเพื่อรองรับกิจการองมอนซานโต
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้กฎหมายมาขัดขวางการจำหน่ายพืชจีเอ็มโอของพวกเขา
5. ก่อหายนะให้สิ่งแวดล้อมอย่างไม่หยุดยั้ง
ทั้งมอนซานโตและกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดฮวบของประชากรผึ้งในสหรัฐและประเทศอื่นๆ
ไม่เพียงเท่านั้นมอนซานโตยังก่อมลพิษให้กับเขตข้างเคียงโรงงาน
มอนซานโตมักโฆษณาตนเองว่าเป็นทางเลือกทางการเกษตรที่ยั่งยืนแต่แท้จริงแล้วผลิตภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชยิ่งทำให้บรรดาศัตรูพืชอย่างวัชพืชและแมลงมีความต้านทานมากขึ้น
และนั่นทำให้เกษตรกรทำการเกษตรได้อย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิม
ยังมีผลกระทบอื่นๆ จากมอนซานโต เช่น
เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้คน เกิดการแพร่ระบาดของพันธุกรรมตัดแต่งไปสู่พืชดั้งเดิม
และนโยบายของมอนซานโตที่ให้ความสำคัญกับพืชไม่กี่ชนิดยังเป็นการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น